วันพุธที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2556

ข้อ1. เทคโนโลยี 3G 4G และ 5G คืออะไร แตกต่างกันอย่างไร
3Gเป็นเทคโนโลยีการสื่อสารในการเชื่อมต่อและการรับ-ส่งข้อมูล โดยการเชื่อมต่อแบบไร้สายด้วยความเร็วสูง  ซึ่งแต่เดิมเครื่องมือสื่อสารทำได้เพียงรับส่งข้อมูลภาพและเสียงต่างเวลาและสถานที่กัน  การสนทนาก็มีเพียงแค่เสียงไม่สามารถเห็นหน้าขณะสนทนาได้แต่ระบบนี้ทำให้ประสิทธิภาพในการรับส่งข้อมูลต่างๆ รวดเร็วมากขึ้น พร้อมทั้งสามารถใช้ บริการ Multimedia ได้สมบูรณ์แบบ และมีประสิทธิภาพมาก เช่น การรับ-ส่ง Fileข้อมูลที่มีขนาดใหญ่มาก การใช้บริการ Video/ Call Conference หรือการสนทนาผ่านระบบวีดีโอ ที่มองเห็นหน้าและสามารถพูดคุยกันได้เสมือนอยู่ต่อหน้ากัน  และสามารถ Download เพลงและดู TV Streaming ได้อย่างรวดเร็วและสะดวก  คุณสมบัติหลักที่เด่นๆ อีกอย่างหนึ่งของระบบ 3G ก็คือ Always On กล่าวคือ มีการเชื่อมต่อกับระบบเครือข่ายของ 3G ตลอดเวลาที่เราเปิดใช้งานโทรศัพท์โดยไม่จำเป็นต้องเชื่อมต่อและล็อกอินเข้าเครือข่ายข้อมูลเหมือนจีพีอาร์เอส  ระบบภาพและเสียงที่มีประสิทธิภาพสมจริง  สามารถประชุมทางไกลร่วมกันเพียงผ่านเครื่องมือสื่อสาร  การดาวโหลดและอัพโหลดข้อมูลปัจจุบันอยู่ที่Download 14.4 Mbps / Upload 384 Kbps ต่อวินาที  ในอนาคตมีแนวโน้มว่าอัตราการดาวและอัพโหลดข้อมูลจะมากถึง 42 Mbps ต่อวินาทีเลยที่เดียว  การทำงานเปรียบได้กับการมีคอมพิวเตอร์กะทัดรัดที่สามารถพกพาได้เลยทีเดียว 
4G มีลักษณะแตกต่างจาก 3G คือ ในเรื่องของการเชื่อมต่อแบบเคลื่อนไหวไร้รอยต่อ 4G เป็นเครือข่ายไร้สายความเร็วสูงชนิดพิเศษ หรือเป็นเส้นทางด่วนสำหรับข้อมูลที่ไม่ต้องอาศัยการลากสายเคเบิล โดยระบบใหม่นี้จะสามารถใช้งานได้แบบไร้สาย รวมถึงคุณสมบัติ การเชื่อมต่อเสมือนจริงในรูปแบบสามมิติ (three-dimensional) ระหว่างผู้ใช้โทรศัพท์ด้วยกันเอง นอกจากนั้น สถานีฐาน ซึ่งทำหน้าที่ในการส่งผ่านสัญญาณโทรศัพท์เคลื่อนที่จากเครื่องหนึ่งไปยังอีกเครื่องหนึ่ง และมีต้นทุนการติดตั้งที่แพงลิ่วในขณะนี้ จะมีให้เห็นกันอย่างแพร่หลายเช่นเดียวกับหลอดไฟฟ้าตามบ้านเลยทีเดียว
 5G คือการที่จะค้นพบการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นไม่ประจำได้นั้นก่อนอื่นต้องเข้าใจให้ถ่องแท้ถึงสภาพปรกติในการปฏิบัติงานประจำให้ได้เสียก่อน และสิ่งสำคัญที่สุดคือ สภาพเหล่านั้นจะต้องเกิดขึ้นในพื้นที่จริง ดังนั้นจึงมีความจำเป็นที่จะต้องตรวจสอบพื้นที่จริง เพื่อค้นหาการเปลี่ยนแปลง อาจสรุปได้ว่า มีความจำเป็นอย่างยิ่งที่ผู้ควบคุมสายงานจะต้องเรียนรู้ และนำเอาหลัก 5G ไปปฏิบัติและประยุกต์ใช้
ข้อ2. ความหมายของระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการ
            ระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการ (Management Information Systems) (MIS) เป็นระบบเกี่ยวกับการจัด หาคน หรือข้อมูลที่สัมพันธ์กับข้อมูล เพื่อการดำเนินงานขององค์การ เช่น การใช้ MIS เพื่อช่วยเหลือกิจกรรมของลูกจ้าง เจ้าของกิจการ ลูกค้า และบุคคลอื่นที่เจ้ามาเกี่ยวข้องกับองค์การ การประมวลผลของข้อมูลจะช่วยแบ่งภาระการ ทำงานและยังสามารถนำ สารสนเทศมา ช่วยในการตัดสินใจของผู้บริหาร หรือ MIS เป็นระบบซึ่งรวมความสามารถของผู้ใช้งานและคอมพิวเตอร์เข้าด้วยกัน โดยมีจุดมุ่งหมาย เพื่อให้ได้มาซึ่งสารสนเทศเพื่อการดำเนินงานการจัดการ และการตัดสินใจในองค์การ หรือ MIS หมายถึงการเก็บรวบรวมข้อมูล การ ประมวลผล และการสร้างสารสนเทศขึ้นมาเพื่อช่วยในการตัดสินใจ การประสานงาน และการควบคุม นอกจากนั้นยังช่วยผู้บริหาร และ พนักงานในการวิเคราะห์ปัญหา แก้ปัญหา และสร้างผลิตภัณฑ์ใหม่ โดย MIS จะต้องใช้อุปกรณ์ทางคอมพิวเตอร์ (Hardware) และ โปรแกรม (Software) ร่วมกับผู้ใช้ (Peopleware) เพื่อก่อให้เกิดความสำเร็จในการได้มาซึ่งสารสนเทศที่มีประโยชน์
ข้อ3. ข้อมูลและสารสนเทศต่างกันอย่างไร
                แตกต่างกันที่ข้อมูล คือ ข่าวสาร ข้อความ รูปภาพ เสียง หรือ อะไรต่างๆที่อยู่ในหลายๆรูปแบบ ซึ่อข้อมูงเหล่านี้ยังไม่ได้ผ่านการประมวลผล หรือจัดกลุ่มเรียบเรียงอะไรทั้งสิ้น ยังไม่สามารถนำๆปใช้งานได้ จะแตกต่างจากสารสนเทศ คือ เป็นข้อมูลที่ได้รับการกลั่นกรอง หรือประมวลผลให้อยู่ในรูปแบบ หรือกรรมวิธีต่างๆแล้ว เป็นข้อมูลที่สะดวกต่อการใช้งาน ซึ่อถือว่าเป็นข้อมูลที่ดีที่สุด สามารถอ้างอิงและใช้งานได้เลย
ข้อ.4 องค์ประกอบของเทคโนโลยีสารสนเทศ   
               การสื่อสารข้อมูล คือการส่งผ่านข้อมูลระหว่างอุปกรณ์ตั้งแต่2ตัวขึ้นไปซึ่งข้อมูลที่แลกเปลี่ยนกันนี้มีได้หลายรูปแบบ ตัวอย่าง เช่น ตัวอักษร ตัวเลข รูปภาพ หรือเสียง เป็นต้นเปรียบเทียบอย่างง่าย ๆ การสื่อสารข้อมูลระหว่างอุปกรณ์ต่าง ๆ ก็เหมือนกับการพูดระหว่างนักเรียนในกลุ่มหรือการโทรศัพท์คุยกัน ข้อมูลในที่นี้คือบทสนทนาที่นักเรียนแปลกเปลี่ยนกันนั่นเอง เราสามารถเปรียบเทียบการใช้งานคอมพิวเตอร์ก่อนและหลังการนำ ระบบเครือข่ายมาใช้ได้ดังนี้สมัยก่อน : เราจะต้องพิมพ์ข้อมูลออกมาเป็นเอกสาร หรือเก็บข้อมูลลงแผ่นบันทึก แล้วอาศัยพนักงานในการส่งเอกสารและแต่ละคนจะทำงานโดยอาศัยทรัพยากรหรือซอฟต์แวร์ที่มีอยู่ในเครื่องตนเองปัจจุบัน : เราสามารถรับส่งข้อมูลกันได้อย่างรวดเร็วผ่านเครือข่าย และยังสามารถใช้ทรัพยากรทั้งฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ร่วมกันได้เป็นการเพิ่มประสิทธิภาพทั้งการทำงานและการใช้ทรัพยากรที่มีอยู่
แหล่งที่มา : www.google.com

วันอังคารที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2556


ทำไมต้องเรียนระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการ
          เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารได้เข้ามามีบทบาทอย่างมากต่อการดำรงชีวิตโดยเฉพาะการประกอบธุรกิจที่มีการแข่งขันที่รุนแรง เพื่อให้ธุรกิจสามารถแข่งขันกับคู่แข่งได้จึงต้องมีการนำเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาใช้ ดังนั้นเราจึงต้องเรียนวิชาระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการเพื่อจะได้นำเทคโนโลยีที่ทันสมัยใหม่มาใช้ทั้งการเรียนและการทำงานในอนาคตได้อย่างมีประสิทธิภาพและสามารถแข่งขันกับผู้อื่นได้ และยังสามารถช่วยให้เราทำงานได้รวดเร็วและใช้ทรัพยากรน้อยลงแต่ได้งานที่มีคุณภาพ